ประวัติและที่มาของ "เทศกาลกินเจ"

 ประวัติและที่มาของ "เทศกาลกินเจ"

เทศกาลกินเจมีประวัติและที่มาที่หลากหลาย โดยมีทั้งตำนานที่เกี่ยวข้องกับการเมือง การต่อสู้ และความเชื่อทางศาสนา 



🟡​​ตำนานรำลึกถึงนักรบหงี่หั่วท้วง (อั้งยี่)

​เป็นตำนานที่แพร่หลายในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคใต้

​เชื่อว่าเป็นการรำลึกถึงนักรบชาวบ้านจีนกลุ่มหนึ่งชื่อ "หงี่หั่วท้วง" (หรือกลุ่มอั้งยี่) ที่ต่อสู้ต้านทานกองทัพแมนจู (ราชวงศ์ชิง) ที่เข้ามายึดครองประเทศจีน

​นักรบเหล่านี้ได้ร่วมกันประกอบพิธีกรรมโดยการ นุ่งขาวห่มขาว ไม่กินเนื้อสัตว์และผักที่มีกลิ่นฉุน และท่องคาถาอาคมตามความเชื่อ เพื่อให้ร่างกายเข้มแข็ง และเชื่อว่าจะป้องกันลูกกระสุนจากปืนไฟของแมนจูได้ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้


​ชาวบ้านจึงร่วมกันถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน เพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของพวกเขา


🟡​ตำนานการบูชาพระราชาธิราช 9 พระองค์

​เป็นความเชื่อทางศาสนาเต๋าและพุทธมหายาน

​การกินเจเป็นการสักการะบูชา "กิ้วอ้วงฮุดโจ้ว" (九皇佛祖) หรือ พระราชาธิราช 9 พระองค์ (มาจากพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ และพระโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์)

​การถือศีลกินเจ 9 วัน 9 คืน (ตามปฏิทินจันทรคติจีน คือวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9) เป็นการบูชาเทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ เพื่อขอพรให้พ้นจากภัยพิบัติ และมีความเป็นสิริมงคล


🟡​ตำนานการรำลึกถึงราชวงศ์ซ้อง

​เป็นความเชื่อที่มีเฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยน

​เป็นการบูชาเพื่อรำลึกถึง จักรพรรดิซ่งตี้ปิง ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องที่สิ้นพระชนม์ (ทำอัตวินิบาตกรรม)


ความหมายของการ "กินเจ"

​คำว่า "เจ" ในภาษาจีนทางพุทธศาสนา (มหายาน) มีความหมายถึง "อุโบสถ หรือการรักษาศีล 8" (ไม่บริโภคอาหารหลังเที่ยงวัน) แต่ในปัจจุบัน คำว่า "กินเจ" มักหมายถึง

🟡​การถือศีล (ถือธรรม) รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทั้งกาย วาจา ใจ

🟡​การกินผัก (งดเนื้อสัตว์) งดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ รวมถึงผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (เช่น นม เนย น้ำมันจากสัตว์) และผักที่มีกลิ่นฉุน 5 ชนิด (กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ) เพื่อเป็นการไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต

🟡​การชำระล้างร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ร่างกายสะอาด และบำเพ็ญเมตตา


🇹🇭​การเผยแพร่ในประเทศไทย

​เทศกาลกินเจเริ่มเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกับการอพยพของชาวจีน โดยเฉพาะชาวจีนฮกเกี้ยน (มักเรียกว่า ประเพณีถือศีลกินผัก) ตั้งแต่สมัยอยุธยา


​ภูเก็ต เป็นจังหวัดที่การจัดเทศกาลกินเจมีความยิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จักมากที่สุด โดยมีการสืบทอดประเพณีมาเกือบ 200 ปี และมีพิธีกรรมที่เข้มข้นและเป็นเอกลักษณ์


ที่มาบทความ เพจ The Earth

https://www.facebook.com/share/p/16y3YXMw9A/




แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น