“เน็ตไทยสุดปั่น! แซว Miss Universe Cambodia 2025 จากชุดซัมปอตลูกไม้สู่นุ่งผ้าไทย – เคลมว่าเป็นชุดเขมรโบราณ”

“เน็ตไทยสุดปั่น! แซว Miss Universe Cambodia 2025 จากชุดซัมปอตลูกไม้สู่นุ่งผ้าไทย – เคลมว่าเป็นชุดเขมรโบราณ”


ลบเฟสหนีทันไหม 555+ Miss Universe Cambodia 2025 สมัยก่อนใส่ชุดซัมปอตลูกไม้ นุ่งผ้าถุง พอเข้าวงการนางงามอัพเกรดเป็นใส่ชุดไทย แล้วเคลมว่าเป็นชุดเขมรโบราณ เหมืองทองน้องอยู่แถวไหนอะครับใส่เครื่องทองเยอะขนาดนี้ หมู่บ้านทอผ้าอยู่แถวไหน 555+

กระแสในโลกออนไลน์ของไทยร้อนแรงอีกครั้ง หลังภาพของ Miss Universe Cambodia 2025 ปรากฏบนโซเชียล โดยนางงามผู้เข้าประกวดสวมชุดที่ดูละม้ายคล้าย “ชุดไทย” อย่างเห็นได้ชัด พร้อมทั้งโพสต์ระบุว่าเป็น “ชุดเขมรโบราณ” ทำให้ชาวเน็ตไทยพากันแชร์ แสดงความคิดเห็น และตั้งคำถามแบบขำ ๆ ว่า “สมัยก่อนใส่ชุดซัมปอตลูกไม้ นุ่งผ้าถุงธรรมดา แต่พอเข้าวงการนางงามอัพเกรดมาเป็นชุดไทยเต็มตัว”


คอมเมนต์ในโลกโซเชียลหลั่งไหล อาทิ


“เหมืองทองน้องอยู่แถวไหนครับ ใส่เครื่องทองแน่นขนาดนี้”


“หมู่บ้านทอผ้าอยู่แถวไหน?”


“ขนาดฝรั่งเขายังรู้เลยว่าอะไรของไทย อะไรไม่ใช่”


“ปากก็บอก Don’t Thai to me แต่ที่เห็น อะไรๆ ก็ไทย นู๋อยากได้อะนู๋อยากได้”


“ด้านไปวัน ๆ เนาะเขมรเนาะ”


ประเด็นนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดดราม่าเรื่องชุดนางงาม ไทย–กัมพูชา เพราะที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศมีประวัติการใช้ชุดประจำชาติที่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากมีรากวัฒนธรรมร่วมในยุคโบราณ อย่างไรก็ตาม นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมชี้ว่า “ไทยและกัมพูชา” ต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะของตน แต่ก็มีการแลกเปลี่ยนศิลปะ เครื่องแต่งกาย และประเพณีต่อเนื่องกันมานาน


การที่ชุดของผู้เข้าประกวด Miss Universe Cambodia 2025 ดูคล้ายกับ “ชุดไทย” จึงกลายเป็นจุดสนใจ เพราะรูปแบบการนุ่ง การห่ม การปักลวดลาย รวมถึงการประดับทองอร่าม ล้วนสะท้อนกลิ่นอายความเป็นไทยมากกว่ากัมพูชาในสายตาคนทั่วไป ซึ่งทำให้ผู้ใช้โซเชียลไทยหลายคนออกมาวิเคราะห์ แซว และตั้งคำถามอย่างสนุกสนาน


อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่ง การที่นางงามกัมพูชานำเครื่องแต่งกายสไตล์ไทยไปประยุกต์ในเวทีนานาชาติ ก็แสดงให้เห็นถึง “อิทธิพลทางวัฒนธรรม” ของไทยที่ยังคงมีบทบาทและเป็นแรงบันดาลใจให้กับประเทศเพื่อนบ้าน และสะท้อนว่าเครื่องแต่งกายไทยมีเสน่ห์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล


ดราม่านี้แม้จะเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน แต่ก็เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ทั้งสองประเทศได้กลับมาทบทวนว่า เครื่องแต่งกายประจำชาติคือมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า และการเคารพที่มา–ที่ไปจะช่วยให้เกิดความเข้าใจและไมตรีมากขึ้น




แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น