CNN ถูกวิจารณ์หนัก! รายงาน “ไทยเปิดฉากโจมตีทางอากาศกัมพูชา” ชาวเน็ตไทยมองสหรัฐแทรกแซงเกินขอบเขต
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกออนไลน์ทันที หลังสำนักข่าวยักษ์ใหญ่อย่าง CNN ของสหรัฐอเมริกา รายงานข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย–กัมพูชา โดยใช้ถ้อยคำว่า “ประเทศไทยได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อกัมพูชา ท่ามกลางการสู้รบระลอกใหม่ระหว่างเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” พร้อมชี้ว่าเหตุการณ์นี้สะท้อนถึง “ความล้มเหลวของแผนสันติภาพที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นประธานเมื่อสองเดือนก่อน”
นอกจากตัวบทความแล้ว ยังมีภาพประกอบพื้นหลังสีดำ พร้อมข้อความเด่นว่า
“ไทยเปิดฉากโจมตีทางอากาศกัมพูชา ขณะที่ข้อตกลงสันติภาพของทรัมป์ยังไม่ลงตัว”
ซึ่งยิ่งจุดกระแสไม่พอใจในหมู่ชาวเน็ตไทยจำนวนมาก ที่มองว่าการรายงานข่าวครั้งนี้มีลักษณะ “ชี้นำ” และ “เข้าข้างฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน”
หลังข่าวถูกเผยแพร่ออกไป โลกโซเชียลฝั่งไทยต่างแสดงความเห็นอย่างดุเดือด โดยหลายคนตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของสื่อต่างชาติที่เข้ามานำเสนอประเด็นความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ พร้อมมองว่าเป็น “เรื่องกิจการภายในระดับภูมิภาค” ที่ไม่ควรมีชาติที่สามเข้ามาแทรกแซง
บางความเห็นสะท้อนความไม่พอใจต่อบทบาทของสหรัฐอเมริกาในเวทีระหว่างประเทศ อาทิ
“เป็นเรื่องระหว่างสองประเทศ ประเทศอื่นไม่ควรมาแทรกแซง”
“อย่าไปสนสหรัฐ ไม่ใช่พ่อประเทศเรา”
รวมถึงมีบางคอมเมนต์ที่แสดงอารมณ์รุนแรงต่อสถานการณ์ ซึ่งสะท้อนความตึงเครียดและความรู้สึกของประชาชนที่ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด
ในอีกมุมหนึ่ง ยังมีชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยที่ตั้งข้อสังเกตว่า รายงานของ CNN เน้นการนำเสนอภาพว่า “ไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อน” โดยขาดการลงรายละเอียดถึงบริบทของสถานการณ์ก่อนหน้า เช่น การยั่วยุ การเคลื่อนไหวทางทหาร หรือความตึงเครียดตามแนวชายแดนที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ทำให้สังคมไทยรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสื่อระดับโลก
ข่าวความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักถูกนำเสนอผ่านมุมมองของชาติมหาอำนาจ ซึ่งบางครั้งอาจไม่สะท้อนความซับซ้อนเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีอย่างครบถ้วน การเลือกใช้ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำ สามารถกำหนด “ภาพจำ” ของประเทศหนึ่งให้กลายเป็นผู้รุกรานในสายตาชาวโลกได้ทันที
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวฝั่งไทยยังยืนยันว่า การปฏิบัติการทางทหารใด ๆ หากเกิดขึ้นจริง ย่อมเป็นไปตามหลักการป้องกันตนเองและอธิปไตยของชาติ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายแดนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด
เหตุการณ์นี้จึงไม่เพียงเป็นชนวนความตึงเครียดในเชิงความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปสู่ “สงครามข่าวสาร” (Information War) ระหว่างสื่อกระแสหลักระดับโลกกับการรับรู้ของประชาชนในประเทศอย่างชัดเจน




0 ความคิดเห็น