จับตาการซ้อมรบกัมพูชา 11-13 มิ.ย. ใกล้เกาะกูด จีนร่วมฝึกหรือ? เสี่ยงยั่วยุท่ามกลางข้อพิพาทไทย-กัมพูชา

ในช่วงวันที่ 11-13 มิถุนายนนี้ กองทัพเรือกัมพูชามีกำหนดจัดการซ้อมรบทางทะเล พร้อมยิงกระสุนจริงในบริเวณใกล้เกาะปูลูไวและเกาะตัง ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดพระสีหนุของกัมพูชา โดยจุดที่มีการซ้อมรบอยู่ห่างจากเกาะกูด จังหวัดตราดของไทยเพียงประมาณ 150 กิโลเมตรเท่านั้น การซ้อมรบครั้งนี้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในบริบทของความสัมพันธ์อันเปราะบางระหว่างไทยและกัมพูชาในเรื่องเขตแดนทางทะเล

สิ่งที่เพิ่มระดับความตึงเครียดให้สูงขึ้นคือ รายงานที่ระบุว่าอาจมีเรือรบของจีนเข้าร่วมการฝึกซ้อมในครั้งนี้ด้วย แม้ทางการกัมพูชายังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้แต่อย่างใด การมีส่วนร่วมของจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของกัมพูชา อาจกลายเป็นสัญญาณของการแสดงแสนยานุภาพ หรือแม้กระทั่งการยั่วยุเชิงสัญลักษณ์ในบริเวณที่มีความอ่อนไหวสูง

นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า การฝึกซ้อมในเวลานี้ ไม่เพียงเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นการส่งสัญญาณเชิงภูมิรัฐศาสตร์ต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย ที่กำลังมีข้อพิพาทเชิงอาณาเขตทางทะเลกับกัมพูชาอยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติ

จีน: ผู้อยู่เบื้องหลังหรือเพียงผู้มีส่วนร่วม?

อิทธิพลของจีนในกัมพูชาเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนทางเศรษฐกิจ หรือความร่วมมือด้านการทหาร ฐานทัพเรือเรียมในจังหวัดพระสีหนุ ที่มีข่าวว่าจีนมีบทบาทในการบูรณะและใช้งานร่วมกับกัมพูชา ก็เป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์มาโดยตลอดจากประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา

ในบริบทนี้ การที่จีนเข้าร่วมการซ้อมรบในทะเลใกล้ชายแดนไทย อาจถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณถึงการแผ่อิทธิพลของจีนในภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งไทยเองในฐานะพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐฯ อาจต้องเดินเกมอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ตกเป็นฝ่ายในเกมการแข่งขันอำนาจของมหาอำนาจ

สรุป:

การซ้อมรบของกัมพูชาในช่วง 11-13 มิถุนายนนี้จึงไม่ใช่เรื่องภายในประเทศเพียงลำพัง หากแต่เป็นกิจกรรมทางทหารที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การมีส่วนร่วมของจีนอาจไม่เพียงเป็นการสนับสนุนทางทหารเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงอิทธิพลที่ขยายตัวของจีนในภูมิภาค และกระทบต่อความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยโดยตรง

การเฝ้าระวังและการทูตเชิงป้องกันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้.